สวดมนต์ เสริมสิริมงคลแก่ชีวิต จิตใจสงบ - สมาคมดัมมี่
สมาคมดัมมี่ สุดยอดแหล่งเรียนรู้ของคนชอบเล่นดัมมี่ ยินดีต้อนรับ Welcome to Dummy Club: The great site for Thai knock dummy lover ติดต่อ Contact Phone: 0838594567 Email: krujaab@gmail.com สมาคมดัมมี่ สุดยอดแหล่งเรียนรู้ของคนชอบเล่นดัมมี่ ยินดีต้อนรับ Welcome to Dummy Club: The great site for Thai knock dummy lover ติดต่อ Contact Phone: 0838594567 Email: krujaab@gmail.com

Kao Jaab's lifestyle Free and Easy

ดูข่าว NEWS 1 ออนไลน์ กด เลือกอ่าน/ดู VDO

สวดมนต์ เสริมสิริมงคลแก่ชีวิต จิตใจสงบ


การสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นบทใดถ้าตั้งใจสวดจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะสวดสั้น สวดยาว สวดย่อ หรือสวดเต็ม ก็ได้บุญด้วยกันทั้งนั้น สาระสำคัญอยู่ที่ความตั้งใจเป็นหลัก ถ้าสวดอย่างมีสมาธิแม้ไม่รู้ความหมาย บทเดียวก็ได้บุญมาก แต่ถ้าสวดแต่ปาก ทว่าใจฟุ้งซ่าน สวดยาวนานมากน้อยแค่ไหนก็คงได้บุญนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง

คำนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งนโม 3 จบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ

ไตรสรณคมน์

ไตรสรณคมน์แปลว่า การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นบทสวดสั้น ๆ 3 ประโยคแต่มีพุทธานุภาพปกป้อง คุ้มครองอย่างยิ่ง ช่วยสมเด็จโต พรหมรังสีรอดพ้นอันตราย จากคุณไสย์ มนต์ดำ หลายครั้งหลายหน ในสมัยออกเดินธุดงค์ในป่า ด้วยอานิสงส์ของการสวดบทนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กล่าวว่าผู้ใดยึดถือสรณะทั้ง 3 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะแคล้วคลาดจากภัยทั้งหลาย สมเด็จพระพุฒาจารย์เสงี่ยม จันทสิริ กล่าวว่าผู้ที่ภาวนาและระลึกถึงไตรสรณคมน์เป็นนิจศีลก่อนตายจะได้ไปสวรรค์แน่นอน

พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก แม้ครั้งที่ 1 แม้ครั้งที่ 2 แม้ครั้งที่ 3

อิติปิโส


บทสวดอิติปิโสเป็นบทสวดที่กล่าวถึงคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เชื่อกันว่าเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครั้งแรกหลังจากตรัสรู้ 7 วัน การสวดอิติปิโสเป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตา บุญบารมี ป้องกันสิ่งชั่วร้าย
บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

อิติปิโส ภะคะวา เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส

สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง

วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

สุคะโต เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี

โลกะวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง 

อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า 

สัตถา เทวะมนุสสานัง เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 

พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม 

ภะคะวาติ เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้

บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง 

อะกาลิโก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล

เอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด 

โอปะนะยิโก เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ 

บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว 

อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว 

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว 

สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว

ยะทิทัง ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ 

จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า 

อาหุเนยโย เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา 

ปาหุเนยโย เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ

ทักขิเณยโย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน 

อัญชะลีกะระณีโย เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี 

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

พระอภิธรรม 7 คัมภีร์

พระอภิธรรมปิฎก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระอภิธรรม เป็นหมวดที่ ประมวลพุทธพจน์อันเกี่ยวกับหลักธรรมที่เป็นวิชาการว่าด้วยเรื่องของ ปรมัตถธรรมล้วน ๆ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น 42,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น 7 คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่าสัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ (หัวใจพระอภิธรรม) 

พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตลอดระยะเวลา 3 เดือนและเทพบุตรพุทธมารดาได้บรรลุโสดาบัน การสวดพระอภิธรรมตามความเชื่อเล่าต่อกันมาการสวดพระอภิธรรมถือเป็นการตอบแทนคุณบิดามารดาตามแบบอย่างพระพุทธเจ้า เชื่อกันว่าใครสวดครบ 7 ปีร่างกายไม่เน่าเปื่อยหมดบุญก็ขึ้นสวรรค์ทันที หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย กล่าวว่า มนต์บทนี้เทวดาชอบฟังแม้แต่สวดในใจเทวดาก็ยังฟัง ครูบาอินทร ปัญญาวัฑฒโน วัดสันป่ายางหลวง จ. ลำพูน บอกว่าเราสวดเพื่อเอาอานิสงส์ เราฟังแล้วจิตสงบ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน 

พระสังคิณี

กุสะลา ธัมมา  ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ให้ผลเป็นความสุข

อะกุสะลา ธัมมา  ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ให้ผลเป็นความทุกข์

อัพยากะตา ธัมมา  ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต เป็นจิตกลาง ๆ อยู่ 

กะตะเม ธัมมา กุสะลา ธรรมเหล่าไหนเป็นกุศล

ยัสมิง สะมะเย ในสมัยใด

กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ  จิตเป็นกุศลอันหยั่งลงสู่กามย่อมเกิดขึ้น

โสมะนัสสะสะหะคะตัง  เป็นไปกับโสมนัสคือความยินดี

ญาณะสัมปะยุตตัง ประกอบด้วยญาณคือปัญญาเกิดขึ้น 

รูปารัมมะณัง วา อารมณ์ทางรูปก็ดี
สัททารัมมะณัง วา อารมณ์ทางเสียงก็ดี
คัณธารัมมะณัง วา อารมณ์ทางกลิ่นก็ดี
ระสารัมมะนัง วา อารมณ์ทางรสก็ดี
โผฏฐัพพารัมมะณัง วา อารมณ์สัมผัสกายก็ดี
ธัมมารัมมะณัง วา อารมณ์นึกคิดทางใจก็ดี
ยัง ยัง วา ปะนะรัพภะ ปรารภอารมณ์ใด ๆ บ้างก็ดี
ตัสมิงสะมะเย ในสมัยนั้น
ผัสโส โหติ อะวิเข โป โหติ ผัสสะและความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมี
เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้น
อัญเญปิ อัตถิ ปฏิจจะสะมุปปันนา อรูปิโน ธัมมา ธรรมเหล่าใดแม้อื่นมีอยู่เป็นธรรมที่ไม่มีรูปอาศัยกันและกันเกิดขึ้น 
อิเม ธัมมา กุสะลา ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
พระวิภังค์
ปัญจักขันธา  ขันธ์ 5 คือ
รูปักขันโธ  รูปขันธ์ รูปกาย 
เวทะนากขันโธ  เวทนาขันธ์ ความเสวยอารมณ์
สัญญากขันโธ  สัญญาขันธ์  ความจำ
สังขารักขันโธ  สังขารขันธ์ ความคิดปรุงแต่ง
วิญญาณักขันโธ  วิญญาณขันธ์  ความรู้แจ้งในอารมณ์
ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ  บรรดาขันธ์ทั้งหมด รูปขันธ์เป็นอย่างไร
ยังกิญจิ รูปัง  รูปอันใดอันหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง  ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุปัน 
อัชฌัตตัง วา  ภายในก็ตาม 
พะหิทธา วา  ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกัง วา  หยาบก็ตาม 
สุขุมัง วา ละเอียดก็ตาม
หีนัง วา เลวก็ตาม
ปะณีตัง วา ประณีตก็ตาม
ยังทูเร วา  อยู่ไกลก็ตาม
สันติเก วา  อยู่ใกล้ก็ตาม
ตะเทกัชฌัง อภิสัญญูหิตวา  ประมวลเข้ายิ่งแล้วเป็นหมวดเดียวกัน
อภิสังขิปิตวา  ย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว
อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ  กล่าวรวมกันว่ารูปขันธ์
พระธาตุกถา
สังคะโห  การสงเคราะห์ คือรวมเข้าเป็นหมวดหมู่เดียวกันได้
อะสังคะโห การไม่สงเคราะห์ คือไม่รวมเข้าเป็นหมวดหมู่เดียวกัน
สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันได้เพราะเป็นฝ่ายเดียวกันแต่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมฝ่ายอื่น
อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง  หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกันแต่สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกัน
สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันได้เพราะเป็นฝ่ายเดียวกันก็สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกันทั้งหมด  
อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกันก็สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมต่างฝ่ายกันทั้งหมด
สัมปะโยโค  การประกอบกัน คือมีส่วนร่วมเป็นอันเดียวกัน
วิปปะโยโค  การไม่ประกอบกัน คือการพลัดพรากเพราะผิดส่วนกัน 
สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง  หมวดธรรมที่ประกอบกันได้ก็ไม่ประกอบกับธรรมประเภทอื่น
วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง หมวดธรรมที่ไม่ประกอบกันแล้วก็ประกอบกันอีก 
อะสังคะหิตัง  จัดเป็นสิ่งที่สงเคราะห์ไม่ได้
พระปุคคะละปัญญัตติ
ฉะ ปัญญัตติโย บัญญัติ 6 คือ 
ขันธะปัญญัติ ขันธบัญญัติ 
อายะตะนะปัญญัตติ อายตนบัญญัติ
ธาตุปัญญัตติ  ธาตุบัญญัติ
สัจจะปัญญัตติ สัจจบัญญัติ
อินทริยะปัญญัตติ  อินทรีย์บัญญัติ 
ปุคคะละปัญญัตติ บุคคลบัญญัติ
กิตตาวะตา ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ  บุคคลบัญญัติของบุคคลมีเท่าไร
สะมะยะวิมุตโต ผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ เช่นพระโสดาบัน
อะสะมะยะวิมุตโต ผู้มีจิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย เช่นพระอรหันต์
กุปปะธัมโม ผู้มีธรรมที่กำเริบได้ หมายถึงผู้อาจเสื่อมจากสมาบัติได้
อะกุปปะธัมโม ผู้มีธรรมที่กำเริบไม่ได้ หมายถึงผู้ไม่เสื่อมจากสมาบัติ
ปะริหานะธัมโม ผู้มีธรรมที่เสื่อมได้ เช่นผู้ได้สมาบัติยังไม่คล่องแคล่ว
อะปะริหานะธัมโม ผู้มีธรรมที่เสื่อมไม่ได้ เช่นพระอรหันต์
เจตะนาภัพโพ ผู้มีธรรมที่ควรแก่เจตนา หมายถึงผู้เอาใจใส่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัติ 
อนุรักขะนาภัพโพ  ผู้มีธรรมที่ควรแก่การรักษา หมายถึงผู้คอยรักษาสมาบัติไม่ให้เสื่อม
ปุถุชชะโน  ผู้ที่เป็นปุถุชน กิเลสหนา 
โคตระภู  ผู้ขึ้นไปถึงโคตรภู หมายถึงผู้ก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยะ
ภะยูปะระโต  ผู้มีความกลัว หมายถึงพระอริยะยังกลัวภัยอยู่
อะภะยูปะระโต  ผู้ไม่มีความกลัว หมายถึงพระอรหันต์ตัดภัยได้เด็ดขาด
ภัพพาคะมะโน  ผู้มีวาสนาอันแรงกล้าที่สมควรจะบรรลุมรรค ผล
อะภัพพาคะมะโน ผู้มีวาสนาอันน้อยยังไม่สมควรจะบรรลุมรรค ผล
นิยะโต ผู้เที่ยง หมายถึง เที่ยงแท้ไปสู่นรกหรือเที่ยงแท้ไปสู่นิพพาน
อะนิยะโต ผู้ไม่เที่ยงเพราะมีคติไม่แน่นอน
ปฏิปันนะโก ผู้ปฏิบัติเพื่อจะได้พระอริยมรรค
ผะเลฏฐิโต ผู้ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล
อะระหา อะระหัตตายะ ปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติเพื่อให้ถึงพระอรหัตผล
พระกถาวัตถุ
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ (ถาม) ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์คือความหมายที่แท้จริงหรือ?
อามันตา  (ตอบ) ใช่ ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์คือโดยความหมายที่แท้จริง 
โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ (ถาม) ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ ค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือโดยความหมายอันแท้จริงอันนั้นหรือ? 
นะ เหวัง วัตตัพเพ (ตอบ) ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนี้
อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ วะตะ เร วัตตัพเพ โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ มิจฉา ท่านจงรู้นิคหะ (การข่มปราม) เถิดว่าท่านค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์คือโดยความหมายอันแท้จริงแล้ว ท่านก็ควรกล่าวด้วยเหตุนั้นว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้น คำตอบของท่านที่ว่าปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้นจึงผิด
พระยมก
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา  ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล
สัพเพ เต กุสะลามูลา  ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีกุศลเป็นมูล
เย วา ปะนะ กุสะละมูลา  อีกอย่างหนึ่งธรรมเหล่าใดมีกุศลเป็นมูล
สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา  ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นกุศล
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา  ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล
สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา  ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีบูลอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล
เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา  อีกอย่างหนึ่งธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล
สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา  ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศล 
พระมหาปัฏฐาน
เหตุปัจจะโย  ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย
อารัมมะณะปัจจะโย  ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย 
อธิปะติปัจจะโย  ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย 
อนันตะระปัจจะโย  ธรรมที่เป็นลำดับสืบต่อกัน ไม่มีระหว่างคั่นเป็นปัจจัย
สะมะนันตะระปัจจะโย  ธรรมที่เป็นลำดับสืบต่อกัน ไม่มีระหว่างคั่นเลยทีเดียวเป็นปัจจัย
สะหะชาตะปัจจะโย  ธรรมที่เกิดร่วมกันเป็นปัจจัย
อัญญะมัญญะปัจจะโย  ธรรมที่ต้องอาศัยกันและกันเป็นปัจจัย
นิสสะยะปัจจะโย  ธรรมที่มีนิสัยเป็นปัจจัย
อุปะนิสสะยะปัจจะโย  ธรรมที่มีอุปนิสัยเป็นปัจจัย
ปุเรชาตะปัจจะโย  ธรรมที่มีธรรมเกิดก่อนเป็นปัจจัย
ปัจฉาชาตะปัจจะโย  ธรรมที่มีธรรมเกิดภายหลังเป็นปัจจัย
อาเสวะนะปัจจะโย  ธรรมที่มีการเสพเป็นปัจจัย
กัมมะปัจจะโย  ธรรมที่มีกรรมเป็นปัจจัย
วิปากาปัจจะโย  ธรรมที่มีวิบากเป็นปัจจัย
อาหาระปัจจะโย  ธรรมที่มีอาหารเป็นปัจจัย
อินทริยะปัจจะโย  ธรรมที่มีอินทรีย์เป็นปัจจัย
ฌานะปัจจะโย  ธรรมทีมีฌานเป็นปัจจัย
มัคคะปัจจะโย  ธรรมที่มีมรรคเป็นปัจจัย
สัมปะยุตตะปัจจะโย  ธรรมที่มีการประกอบเป็นปัจจัย 
วิปปะยุตตะปัจจะโย  ธรรมที่มีการไม่ประกอบเป็นปัจจัย
อัตถิปัจจะโย  ธรรมที่มีอยู่เป็นปัจจัย
นัตถิปัจจะโย  ธรรมที่ไม่มีอยู่เป็นปัจจัย
วิคะตะปัจจะโย  ธรรมที่ปราศจากไปเป็นปัจจัย
อะวิคะตะปัจจะโย  ธรรมที่ไม่ปราศจากไปเป็นปัจจัย
มาติกา

มาติกา (อ่านว่า มาด-ติ-กา) หมายถึงพระบาลีที่เป็นหัวข้อธรรมในพระธรรมปิฎก เป็นแม่บท เรียกว่า บทมาติกา เป็นการสวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเคารพนับถือและความกตัญญูต่อผู้ตาย สำหรับผู้ที่ยังอยู่ได้เข้าใจถึงเรื่องความตาย ทุกคนหนีความตายไม่พ้น จึงต้องเร่งทำความดี ถือศีล ภาวนา สร้างบุญกุศลในชาตินี้ 

กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศล สุข

อะกุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นอกุศล ทุกข์

อัพยากะตา ธัมมา ธรรมไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล จิตกลาง ๆ

สุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ธรรมที่ประกอบด้วยความรู้สึกเป็นสุข สุขเวทนา

ทุกขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ธรรมที่ประกอบด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์ ทุกขเวทนา

อะทุกขะมะสุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ธรรมที่ประกอบด้วยความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา 

วิปากา ธัมมา ธรรมที่เป็นผล สุจริต 3 ทุจริต 3

วิปากะธัมมะ ธัมมา ธรรมที่เป็นเหตุแห่งผล อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ กุศลมูล 3 คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

เนวะวิปากะนะวิปากะ ธัมมะ ธัมมา ธรรมที่ทั้งไม่เป็นผลและไม่เป็นเหตุแห่งผล นิพพาน 

อุปาทิน นุปาทานิยา ธัมมา ธรรมที่ถูกยึดมั่น และเป็นที่แห่งความยึดมั่น ถือเอา ขันธ์ 5 เป็นของตน

อะนุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่นแต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น โลกธรรม 8

อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา ธรรมที่ทั้งไม่ถูกยึดมั่นและไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น มรรค 8 

สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา ธรรมที่เศร้าหมองและเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้  อุปกิเลส 16

อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา ธรรมที่ไม่เศร้าหมองแต่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้ คิดถึงคุณพระรัตนตรัย

อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมองและไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้ ก็มี มรรค 4  ผล 4  นิพพาน 1 

สะวิตักกะสะวิจารา ธัมมา ธรรมที่มีวิตก คือความตรึกและมีวิจาร คือความตรอง วิตก วิจาร

อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธัมมา ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกมีแต่วิจาร ทำบุญกุศลไปเรื่อย ไม่สงสัย

อวิตักกาวิจารา ธัมมา ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ความเชื่อในทางพุทธ

ปีติสะหะคะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นไปพร้อมกับความเอิบอิ่มใจ ปิติ

สุขะสะหะคะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นไปพร้อมกับความสุข สุข

อุเปกขาสะหะคะตา ธัมมา รรมที่เป็นไปพร้อมกับความวางเฉย อุเบกขา 

ทัสสะเนนะปะหาตัพพา ธัมมา ธรรมที่พึงละด้วยทัศนะ อสุภะ

ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา ธรรมที่พึงละด้วยภาวนา ภาวนา 3

เนวะทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะปะหาตัพพา ธัมมา ธรรมที่ละไม่ได้ทั้งด้วยทัศนะและด้วยภาวนา อยู่เฉย ไม่ยินดีในกามคุณ 

ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา ธรรมมีสาเหตุที่พึงละด้วยทัศนะ ก็มี เห็นด้วยตาแล้วละกิเลสได้ก็มี เห็นด้วยปัญญาแล้วละกิเลสได้ก็มี

ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา ธรรมมีสาเหตุที่พึงละด้วยภาวนา 

เนวะ ทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะ ปะหาตัพพะ เหตุกา ธัมมา ธรรมมีสาเหตุที่ละมิได้ด้วยทัศนะและมิได้ด้วยภาวนา  

อาจะยะคามิโน ธัมมา ธรรมที่นำไปสู่การสั่งสม บุญนำความสุขมาให้

อะปะจะยะคามิโน ธัมมา ธรรมที่นำไปสู่ความปราศจากการสั่งสม เป็นทุกข์เพราะไม่สั่งสมบุญ

เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา ธรรมที่ไม่นำไปทั้งสู่การสั่งสม และสู่ความปราศจากการสั่งสม ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป อยู่ระหว่างกลาง

เสกขา ธัมมา ธรรมที่เป็นของอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษาอยู่ อธิศีลสิกขา 1 อธิจิตสิกขา 1 อธิปัญญาสิกขา 1

อะเสกขา ธัมมา ธรรมที่เป็นของผู้บรรลุอรหัตผลซึ่งไม่ต้องศึกษาแล้ว

เนวะเสกขา นาเสกขา ธัมมา ธรรมที่ไม่เป็นทั้งของผู้ยังต้องศึกษาและผู้ไม่ต้องศึกษา 

ปะริตตา ธัมมา ธรรมมีประมาณน้อย

มะหัคคะตา ธัมมา ธรรมทั้งหลายอันเลิศใหญ่

อัปปะมาณา ธัมมา ธรรมที่ประมาณมิได้ 

ปะริตตารัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะที่ยังเล็กน้อยเป็นอารมณ์ ไม่กระทำอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านไป

มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะที่ถึงภาวะใหญ่แล้วเป็นอารมณ์  ธรรมทั้งหลายมีอารมณ์มาก ยังอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านมาก

อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะอันประมาณมิได้เป็นอารมณ์ มีอารมณ์ไม่มีประมาณ 

หีนา ธัมมา ธรรมต่ำช้าเลวทราม กามคุณ 5

มัชฌิมา ธัมมา ธรรมอย่างกลาง มรรค 8

ปะณีตา ธัมมา ธรรมอย่างประณีต ศีล

มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา ธรรมที่แน่นอน ฝ่ายผิด อุฉเฉททิฏฐิ  สัสสตทิฏฐิ  อกิริยาทิฏฐิ 

สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา ธรรมที่แน่นอน ฝ่ายถูก  สัมมาทิฏฐิ

อะนิยะตา ธัมมา ธรรมที่ไม่แน่นอน เวลาใกล้ตายจะไปสวรรค์หรือนรก ไม่แน่นอน 

มัคคารัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์ สังโยชน์

มัคคะเหตุกา ธัมมา ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ ไตรสิกขา

มัคคาธิปะติโน ธัมมา ธรรมที่มีมรรคเป็นประธาน นิสัยที่แก่กล้า จึงจะดำเนินไปสู่พระนิพพาน 

อุปปันนา ธัมมา ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไตรลักษณ์

อะนุปปันนา ธัมมา ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น บุคคลที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แล้วธรรมที่จะนำความสุขมาให้นั้นก็ไม่บังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้นั้น

อุปปาทิโน ธัมมา ธรรมที่จักเกิดขึ้น ธรรมของพระอริยเจ้า มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 

อะตีตา ธัมมา ธรรมที่เป็นอดีต ธาตุทั้ง 4 อายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 ที่เกิดแล้วดับสูญ

อะนาคะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นอนาคต บาป บุญ ความตาย การบรรลุธรรม

ปัจจุปปันนา ธัมมา ธรรมที่เป็นปัจจุบัน  ขันธ์ 5 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อะตีตา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีอดีตเป็นอารมณ์ ระลึกถึงทาน ศีลที่เคยทำไว้

อะนาคะตา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ์  ระลึกถึงญาน ปัญญาที่ยังไม่มี  

ปัจจุปปันนา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีปัจจุบันเป็นอารมณ์ ระลึกถึง สุข ทุกข์ในเวลานี้ ให้มีสติทุกขณะจิต 

อัชฌัตตา ธัมมา ธรรมภายใน  ฌาณ 5 นิวรณ์ 5 อายตนะภายใน 6

พะหิทธา ธัมมา ธรรมภายนอก อายตนะภายนอก 6

อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา ธรรมทั้งภายในและภายนอก เหตุอาศัยซึ่งกันและกัน

อัชฌัตตา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะภายในเป็นอารมณ์ ฌาณ

พะหิทธา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะภายนอกเป็นอารมณ์ รูป

อัชฌัตตะพะหิทธา รัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีสภาวะทั้งภายในและภายนอกเป็นอารมณ์ การเกิดขึ้นพร้อมกัน นิพพาน

สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ ความคับแค้นใจที่ได้เห็น

อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา ธรรมที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้  ความคับแค้นใจที่ไม่ได้เห็น

อะนิทัสสะนาป ปะฏิฆา ธัมมา ธรรมทั้งที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ จะคับแค้นก็ไม่ใช่ จะเห็นก็ไม่ใช่ แต่ละกิเลสได้